当前位置:首页 > 热点 > "วิโรจน์"เผยเหตุผลทำไมลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่สุดท้าย ชี้ถ้าไม่ได้เป็นจะทำอะไร? 正文
"วิโรจน์"เผยเหตุผลทำไมลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่สุดท้าย ชี้ถ้าไม่ได้เป็นจะทำอะไร?
时间:2025-12-25 12:10:26 来源:大慈大悲网
วิโรจน์quotเผยเหตุผลทำไมลงสมัครสสบัญชีรายชื่อลำดับที่สุดท้ายชี้ถ้าไม่ได้เป็นจะทำอะไร
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า [ ทำไมผมถึงลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่สุดท้าย ลำดับที่ 100 ]
คนที่ทำงานกับผมมาตั้งแต่ยุคพรรคอนาคตใหม่ ต่อเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกล และพรรคประชาชน จะรู้ดีว่า เหตุผลที่ผมเข้ามาทำงานการเมือง คือ ความตั้งใจที่อยากเห็นประเทศนี้ดีขึ้น ผมไม่เคยคิด ไม่เคยหวังเลยว่า ตัวเองจะได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ในสมัยพรรคอนาคตใหม่ ผมเป็นผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 33 ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้น โอกาสจะได้เข้าสภาแทบไม่มีอยู่แล้ว แต่เมื่อประชาชนมอบโอกาสให้ ผมก็คิดว่าเราต้องตั้งใจทำหน้าที่ สส. ให้ดีที่สุด สมกับความไว้วางใจนั้น ผมตั้งใจที่จะเป็น สส. ที่เอาการเอางาน ใช้กลไกของอำนาจนิติบัญญัติ งานสภา และงานกรรมาธิการ ตลอดจนเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อแก้ปัญหาให้เกิดประโยชน์กับประชาชนให้ได้มากที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ผมย้ำกับตัวเองเสมอ คือ วิโรจน์ ยังต้องเป็นวิโรจน์คนเดิม ต้องไม่ลืมตัว ไม่หลงใหลในอำนาจ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติประชาชนทุกคนเสมอ
ผมเข้าใจดีว่า นักการเมืองย่อมมีทั้งคนที่ชอบ และไม่ชอบ เราคงทำให้ทุกคนชอบเราไม่ได้ แต่เราทำให้คนที่ไม่ชอบเรา ให้ไม่ชอบเราด้วยเหตุผลอื่น ที่ไม่ใช่การทุจริต คอร์รัปชั่นได้ ซึ่งผมก็สามารถครองตน และทำเช่นนั้นได้สำเร็จ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมทำหน้าที่ สส. มาแล้ว 2 สมัย สมัยแรก 2 ปี 10 เดือน 10 วัน สมัยที่สอง 2 ปี 6 เดือน 27 วัน รวมทั้งหมด 5 ปี 5 เดือน 7 วัน
ผมยึดมั่นอยู่เสมอว่า ตำแหน่งมีไว้ให้ทำหน้าที่ อำนาจมีไว้ให้ตัดสินใจและรับผิดชอบ ไม่ใช่มีไว้ให้เรายึดติด เราไม่ควร เป็น สส. เพียงเพราะแค่เราอยากเป็น แต่เราจำเป็นต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เป็น สส. แล้วจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับประชาชนได้ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่เคยยึดติดกับตำแหน่งใดๆ จนหลงลืมตัวตนของตัวเองเลย
วันที่ผมตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง สส. เพื่อสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เชื่อไหมครับว่าหลังจากที่ได้รับข้อเสนอจากพรรค ผมใช้เวลาตัดสินใจตอบรับไม่ถึง 2 นาที ทั้งๆ ที่ผู้บริหารพรรคหลายคนบอกกับผมในภายหลังว่า ไม่อยากให้ผมตอบรับเลย
มีคนถามด้วยซ้ำว่า "ไม่รู้หรือว่า โอกาสที่จะชนะนั้นมีน้อยมากๆ" ซึ่งผมก็ตอบไปตามตรงว่า "ทำไมผมจะไม่รู้ว่าโอกาสชนะมีน้อย แต่เมื่อไหร่ที่พรรคต้องการใครสักคน จะมีผมยืนอยู่ตรงนั้นเสมอ งานในสภาที่ทำอยู่ มาคิดดูดีๆ ก็ทำมาเกือบครบทุกบทบาทแล้ว แต่การลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. คือ ความท้าทายใหม่ และเป็นโอกาสที่พรรคจะได้นำเสนอนโยบายต่อสาธารณะอย่างจริงจัง ซึ่งจะเป็นผลดีกับพรรค ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป และหากได้รับชัยชนะขึ้นมา งานในฐานะ ผู้ว่าฯ กทม. ก็เป็นงานที่จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับชาวกรุงเทพฯ ได้ ผมจึงไม่ลังเลใจเลย ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในนาม "วิโรจน์ ก้าวไก่" ในวันนั้น
เช่นเดียวกับวันที่พรรคต้องการ สส. ไปเป็นแม่งาน ช่วยวางระบบฟื้นฟูบ้านเรือนประชาชนจากโคลนถล่มที่เชียงราย ที่ต้องการคนผละจากครอบครัว ไปอยู่กึ่งประจำในพื้นที่ที่ จ.เชียงราย นานถึง 1–2 เดือน พอพรรคถามไถ่มาว่าผมพอจะช่วยพรรคได้ไหม ผมก็รับอาสาทันที จำได้ว่าไปเริ่มงานที่นั่นแบบเริ่มต้นจากศูนย์ จากพื้นโล่งๆ กลายมาเป็นศูนย์อาสาสมัครล้างทำความสะอาดบ้านให้ชาวเชียงราย ต้องกินอยู่กับเพื่อนๆ อาสาสมัครตามอัตภาพ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ผมภาคภูมิใจ และมีความสุขมากๆ ที่ได้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมงาน และจิตอาสาทุกคนที่นั่น
เมื่อพรรคต้องการใครสักคน เห็นไหมล่ะว่าผมจะยืนอยู่ตรงนั้นเสมอ
ตำแหน่งประธานกรรมาธิการทหารก็เช่นกัน ผมไม่เคยร้องขออยากเป็นประธาน กมธ.ทหาร เลย แต่เมื่อพรรคเห็นว่าจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ของผมในการบุกเบิก และวางรากฐานการทำงานระหว่างพรรคกับกองทัพ ที่มีความเข้าอกเข้าใจกัน มีเส้นแบ่งหน้าที่ที่เคารพต่อกัน และยืนอยู่บนหลักการที่มั่นคง ผมจึงได้ตัดสินใจรับตำแหน่งประธาน กมธ.ทหาร และตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ จน กมธ.ทหาร ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกรรมาธิการที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และสามารถทำงานกับกองทัพได้อย่างราบรื่น โดยที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใดๆ
พอเป็นประธานได้ 2 ปี ผมเป็นคนที่แสดงความประสงค์กับพรรคเองเลยว่า ผมต้องการสละตำแหน่งประธาน เพื่อเปิดโอกาสให้ สส. คนอื่นได้มีประสบการณ์ในฐานะประธานกรรมาธิการบ้าง แม้ผู้บริหารพรรคหลายคนพยายามทักท้วง และอยากให้ผมดำรงตำแหน่งประธานต่อ ไป แต่ผมก็ยังยืนยันว่า ถึงเวลาที่คนอื่นควรได้ก้าวขึ้นมาบ้าง ถ้าผมยังคงยึดติดกับตำแหน่งนี้ แล้วงานใหม่ๆ ที่มีความเสี่ยง และท้าทาย ผมจะไปทำเพื่อพรรคได้อย่างไร
ผมถึงสามารถมาจับงาน "การปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ และการฟอกเงิน" ได้ ซึ่งถือปัจจุบันทุกคนต่างรู้ดีว่า ปัญหาสแกมเมอร์ ถือเป็นภัยความมั่นคงอย่างร้ายแรงต่อประชาชน และประเทศชาติอย่างมาก
การตัดสินใจลงสมัคร สส. บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 100 ในครั้งนี้ ก็มีเหตุผลไม่ต่างกันหรอกครับ ทุกคนรู้ดีว่าลำดับที่ 100 ผมไม่มีทางที่จะกลับมาเป็น สส. ได้อย่างแน่นอน อ้าว! ถ้าไม่ได้เป็น สส. แล้วจะสมัครทำไม ผมก็ขอตอบตรงนี้ว่า ที่ผมยังคงลงรับสมัครเป็น สส.บัญชีรายชื่อ ก็เพราะว่า ผมต้องการยืนยันว่าผมยังคงอยู่กับพรรค และยังคงทำงานให้กับพรรคอย่างทุ่มเท "เต็ม 100" เหมือนเดิม
"เมื่อไหร่ที่พรรคต้องการผม ผมจะยืนอยู่ตรงนั้นเสมอ"
งานของพรรคไม่ได้มีแค่งาน สส. ในสภา หากได้เป็นรัฐบาล ยังมีงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร และการขับเคลื่อนนโยบายอีกมาก ในมุมของการสร้างพรรค ก็ยังมีงานมวลชน งานสมาชิกสัมพันธ์ ที่ต้องการคนไปสร้างการมีส่วนร่วม และหลอมรวมความเห็นที่แตกต่าง เพื่อสร้างพรรคให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่แข็งแรงในระยะยาว ผมจึงเลือกที่จะไปเติมในจุดที่พรรคยังขาด มากกว่ายึดติดกับตำแหน่ง ในจุดที่มีคนแทนที่ได้
ใครที่ทำงานกับผมจะรู้ดี งานไหนมีคนอาสาแข่งขันกันเยอะแยะ ผมจะถอยออกมาเสมอ แต่ถ้างานไหนหาคนทำไม่ได้ คนนั้นก็ติด คนนี้ก็มีข้อจำกัด ชื่อของผมจะผุดขึ้นมาในหัวของผู้บริหารพรรคโดยพลัน และเมื่อหันมา ก็จะเห็นผมยิ้ม และชูมือรอรับคำสั่งอย่างไม่อิดออดอยู่เสมอ เพราะผมเชื่อว่าทีมที่แข็งแรง จำเป็นต้องมีคนที่พร้อมที่จะหน้าที่ปิดช่องว่างให้กับทีม
ถามว่าผมยังอยากเป็น สส. ไหม ใครจะไม่อยากเป็นครับ ตอบตรงๆ ก็ยังอยากเป็น แต่ผมเชื่อว่าเราไม่ควรเป็น สส. เพียงเพราะแค่การอยากเป็น หากมีงานอื่นที่ท้าทายกว่า และเป็นประโยชน์กับพรรค และประชาชนมากกว่า คนที่เป็นเสาหลักของพรรค ต้องพร้อมอาสาไปทำงานในจุดนั้น และเปิดพื้นที่ให้คนอื่นได้เข้ามาแทนที่ องค์กรมันถึงจะเติบโตได้
ผมคิดว่าการทำหน้าที่ สส. ที่ผ่านมา ผมทำได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว อาจจะมีข้อบกพร่องบ้าง ผมก็พร้อมน้อมรับคำติติง และขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ ความอยากเป็น สส. มันมีครับ แต่ความอยากไปบุกเบิกงานใหม่ และความอยากเห็นคนรุ่นใหม่ได้เปล่งประกาย มันมีมากกว่า หากคนเก่าไม่ลุกจากเก้าอี้ คนใหม่ก็ไม่มีวันได้นั่ง แทนที่จะบอกให้ใครลุก ผมเลือกที่จะลุกเอง น่าจะดีกว่า
หากจะถามต่อว่า แล้วถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลล่ะ แล้ววิโรจน์จะไปทำอาชีพอะไร ผมคิดอย่างนี้ครับว่า ประเทศนี้ไม่ควรมี สส. ที่ต้องมาเป็น สส. เพียงเพราะไม่รู้ว่าถ้าไม่ได้เป็น สส. แล้วจะไปประกอบอาชีพอะไร
เอาเป็นว่าเมื่อถึงเวลานั้น ก็คงไปว่าเอาครับ ผมเชื่อว่า คนเราถ้าดิ้น มันก็มีพื้นที่ว่างให้ดิ้นเสมอครับผม
ผมมองในแง่ดีนะครับว่า หากได้ไปทำอะไรอย่างอื่น มันก็เป็นโอกาสที่ผมจะได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้ทำความเข้าใจกับความเป็นไปของโลกยุคใหม่ ได้รู้จักกับเครือข่ายประชาคมใหม่ๆ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้ผมกลับมาช่วยงานพรรคในมิติที่ลึก และแข็งแรงกว่าเดิม การเป็น สส. มา 5 ปีเศษ ในทุกๆ วัน มีแต่งานวิ่งมาชนตัว ไม่มีเวลาที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้อย่างลึกซึ้งเลยครับ
ตลอดเส้นทางกว่า 5 ปี 5 เดือน 7 วัน ผมอาจไม่ได้เป็นนักการเมืองที่สมบูรณ์แบบ แต่ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่า ผมไม่เคยใช้ตำแหน่งเพื่อตัวเอง ไม่เคยยึดเก้าอี้ไว้เพราะความอยาก และไม่เคยลืมว่าอำนาจทั้งหมดที่มีนั้น เป็นของประชาชน
สำหรับผม การเมืองไม่ใช่เรื่องของการได้ “เป็นอะไร” แต่คือการได้ “ทำอะไร” ให้ประเทศนี้ดีขึ้น
เอาเป็นว่าเลือกพรรคประชาชนกันให้เยอะๆ ครับ ใครจะไปรู้ ผมอาจจะได้กลับเข้าสภา เพื่อมาตอบกระทู้ของเพื่อน สส. ก็ได้ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าสไตล์การอภิปรายในสภาของผมนั้นเป็นอย่างไร ไม่อยากเห็นสไตล์การชี้แจง หรือการตอบกลับของผมในสภาบ้างหรือครับ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า [ ทำไมผมถึงลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่สุดท้าย ลำดับที่ 100 ]
คนที่ทำงานกับผมมาตั้งแต่ยุคพรรคอนาคตใหม่ ต่อเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกล และพรรคประชาชน จะรู้ดีว่า เหตุผลที่ผมเข้ามาทำงานการเมือง คือ ความตั้งใจที่อยากเห็นประเทศนี้ดีขึ้น ผมไม่เคยคิด ไม่เคยหวังเลยว่า ตัวเองจะได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ในสมัยพรรคอนาคตใหม่ ผมเป็นผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 33 ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้น โอกาสจะได้เข้าสภาแทบไม่มีอยู่แล้ว แต่เมื่อประชาชนมอบโอกาสให้ ผมก็คิดว่าเราต้องตั้งใจทำหน้าที่ สส. ให้ดีที่สุด สมกับความไว้วางใจนั้น ผมตั้งใจที่จะเป็น สส. ที่เอาการเอางาน ใช้กลไกของอำนาจนิติบัญญัติ งานสภา และงานกรรมาธิการ ตลอดจนเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อแก้ปัญหาให้เกิดประโยชน์กับประชาชนให้ได้มากที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ผมย้ำกับตัวเองเสมอ คือ วิโรจน์ ยังต้องเป็นวิโรจน์คนเดิม ต้องไม่ลืมตัว ไม่หลงใหลในอำนาจ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติประชาชนทุกคนเสมอ
ผมเข้าใจดีว่า นักการเมืองย่อมมีทั้งคนที่ชอบ และไม่ชอบ เราคงทำให้ทุกคนชอบเราไม่ได้ แต่เราทำให้คนที่ไม่ชอบเรา ให้ไม่ชอบเราด้วยเหตุผลอื่น ที่ไม่ใช่การทุจริต คอร์รัปชั่นได้ ซึ่งผมก็สามารถครองตน และทำเช่นนั้นได้สำเร็จ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมทำหน้าที่ สส. มาแล้ว 2 สมัย สมัยแรก 2 ปี 10 เดือน 10 วัน สมัยที่สอง 2 ปี 6 เดือน 27 วัน รวมทั้งหมด 5 ปี 5 เดือน 7 วัน
ผมยึดมั่นอยู่เสมอว่า ตำแหน่งมีไว้ให้ทำหน้าที่ อำนาจมีไว้ให้ตัดสินใจและรับผิดชอบ ไม่ใช่มีไว้ให้เรายึดติด เราไม่ควร เป็น สส. เพียงเพราะแค่เราอยากเป็น แต่เราจำเป็นต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เป็น สส. แล้วจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับประชาชนได้ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่เคยยึดติดกับตำแหน่งใดๆ จนหลงลืมตัวตนของตัวเองเลย
วันที่ผมตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง สส. เพื่อสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เชื่อไหมครับว่าหลังจากที่ได้รับข้อเสนอจากพรรค ผมใช้เวลาตัดสินใจตอบรับไม่ถึง 2 นาที ทั้งๆ ที่ผู้บริหารพรรคหลายคนบอกกับผมในภายหลังว่า ไม่อยากให้ผมตอบรับเลย
มีคนถามด้วยซ้ำว่า "ไม่รู้หรือว่า โอกาสที่จะชนะนั้นมีน้อยมากๆ" ซึ่งผมก็ตอบไปตามตรงว่า "ทำไมผมจะไม่รู้ว่าโอกาสชนะมีน้อย แต่เมื่อไหร่ที่พรรคต้องการใครสักคน จะมีผมยืนอยู่ตรงนั้นเสมอ งานในสภาที่ทำอยู่ มาคิดดูดีๆ ก็ทำมาเกือบครบทุกบทบาทแล้ว แต่การลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. คือ ความท้าทายใหม่ และเป็นโอกาสที่พรรคจะได้นำเสนอนโยบายต่อสาธารณะอย่างจริงจัง ซึ่งจะเป็นผลดีกับพรรค ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป และหากได้รับชัยชนะขึ้นมา งานในฐานะ ผู้ว่าฯ กทม. ก็เป็นงานที่จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับชาวกรุงเทพฯ ได้ ผมจึงไม่ลังเลใจเลย ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในนาม "วิโรจน์ ก้าวไก่" ในวันนั้น
เช่นเดียวกับวันที่พรรคต้องการ สส. ไปเป็นแม่งาน ช่วยวางระบบฟื้นฟูบ้านเรือนประชาชนจากโคลนถล่มที่เชียงราย ที่ต้องการคนผละจากครอบครัว ไปอยู่กึ่งประจำในพื้นที่ที่ จ.เชียงราย นานถึง 1–2 เดือน พอพรรคถามไถ่มาว่าผมพอจะช่วยพรรคได้ไหม ผมก็รับอาสาทันที จำได้ว่าไปเริ่มงานที่นั่นแบบเริ่มต้นจากศูนย์ จากพื้นโล่งๆ กลายมาเป็นศูนย์อาสาสมัครล้างทำความสะอาดบ้านให้ชาวเชียงราย ต้องกินอยู่กับเพื่อนๆ อาสาสมัครตามอัตภาพ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ผมภาคภูมิใจ และมีความสุขมากๆ ที่ได้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมงาน และจิตอาสาทุกคนที่นั่น
เมื่อพรรคต้องการใครสักคน เห็นไหมล่ะว่าผมจะยืนอยู่ตรงนั้นเสมอ
ตำแหน่งประธานกรรมาธิการทหารก็เช่นกัน ผมไม่เคยร้องขออยากเป็นประธาน กมธ.ทหาร เลย แต่เมื่อพรรคเห็นว่าจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ของผมในการบุกเบิก และวางรากฐานการทำงานระหว่างพรรคกับกองทัพ ที่มีความเข้าอกเข้าใจกัน มีเส้นแบ่งหน้าที่ที่เคารพต่อกัน และยืนอยู่บนหลักการที่มั่นคง ผมจึงได้ตัดสินใจรับตำแหน่งประธาน กมธ.ทหาร และตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ จน กมธ.ทหาร ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกรรมาธิการที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และสามารถทำงานกับกองทัพได้อย่างราบรื่น โดยที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใดๆ
พอเป็นประธานได้ 2 ปี ผมเป็นคนที่แสดงความประสงค์กับพรรคเองเลยว่า ผมต้องการสละตำแหน่งประธาน เพื่อเปิดโอกาสให้ สส. คนอื่นได้มีประสบการณ์ในฐานะประธานกรรมาธิการบ้าง แม้ผู้บริหารพรรคหลายคนพยายามทักท้วง และอยากให้ผมดำรงตำแหน่งประธานต่อ ไป แต่ผมก็ยังยืนยันว่า ถึงเวลาที่คนอื่นควรได้ก้าวขึ้นมาบ้าง ถ้าผมยังคงยึดติดกับตำแหน่งนี้ แล้วงานใหม่ๆ ที่มีความเสี่ยง และท้าทาย ผมจะไปทำเพื่อพรรคได้อย่างไร
ผมถึงสามารถมาจับงาน "การปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ และการฟอกเงิน" ได้ ซึ่งถือปัจจุบันทุกคนต่างรู้ดีว่า ปัญหาสแกมเมอร์ ถือเป็นภัยความมั่นคงอย่างร้ายแรงต่อประชาชน และประเทศชาติอย่างมาก
การตัดสินใจลงสมัคร สส. บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 100 ในครั้งนี้ ก็มีเหตุผลไม่ต่างกันหรอกครับ ทุกคนรู้ดีว่าลำดับที่ 100 ผมไม่มีทางที่จะกลับมาเป็น สส. ได้อย่างแน่นอน อ้าว! ถ้าไม่ได้เป็น สส. แล้วจะสมัครทำไม ผมก็ขอตอบตรงนี้ว่า ที่ผมยังคงลงรับสมัครเป็น สส.บัญชีรายชื่อ ก็เพราะว่า ผมต้องการยืนยันว่าผมยังคงอยู่กับพรรค และยังคงทำงานให้กับพรรคอย่างทุ่มเท "เต็ม 100" เหมือนเดิม
"เมื่อไหร่ที่พรรคต้องการผม ผมจะยืนอยู่ตรงนั้นเสมอ"
งานของพรรคไม่ได้มีแค่งาน สส. ในสภา หากได้เป็นรัฐบาล ยังมีงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร และการขับเคลื่อนนโยบายอีกมาก ในมุมของการสร้างพรรค ก็ยังมีงานมวลชน งานสมาชิกสัมพันธ์ ที่ต้องการคนไปสร้างการมีส่วนร่วม และหลอมรวมความเห็นที่แตกต่าง เพื่อสร้างพรรคให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่แข็งแรงในระยะยาว ผมจึงเลือกที่จะไปเติมในจุดที่พรรคยังขาด มากกว่ายึดติดกับตำแหน่ง ในจุดที่มีคนแทนที่ได้
ใครที่ทำงานกับผมจะรู้ดี งานไหนมีคนอาสาแข่งขันกันเยอะแยะ ผมจะถอยออกมาเสมอ แต่ถ้างานไหนหาคนทำไม่ได้ คนนั้นก็ติด คนนี้ก็มีข้อจำกัด ชื่อของผมจะผุดขึ้นมาในหัวของผู้บริหารพรรคโดยพลัน และเมื่อหันมา ก็จะเห็นผมยิ้ม และชูมือรอรับคำสั่งอย่างไม่อิดออดอยู่เสมอ เพราะผมเชื่อว่าทีมที่แข็งแรง จำเป็นต้องมีคนที่พร้อมที่จะหน้าที่ปิดช่องว่างให้กับทีม
ถามว่าผมยังอยากเป็น สส. ไหม ใครจะไม่อยากเป็นครับ ตอบตรงๆ ก็ยังอยากเป็น แต่ผมเชื่อว่าเราไม่ควรเป็น สส. เพียงเพราะแค่การอยากเป็น หากมีงานอื่นที่ท้าทายกว่า และเป็นประโยชน์กับพรรค และประชาชนมากกว่า คนที่เป็นเสาหลักของพรรค ต้องพร้อมอาสาไปทำงานในจุดนั้น และเปิดพื้นที่ให้คนอื่นได้เข้ามาแทนที่ องค์กรมันถึงจะเติบโตได้
ผมคิดว่าการทำหน้าที่ สส. ที่ผ่านมา ผมทำได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว อาจจะมีข้อบกพร่องบ้าง ผมก็พร้อมน้อมรับคำติติง และขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ ความอยากเป็น สส. มันมีครับ แต่ความอยากไปบุกเบิกงานใหม่ และความอยากเห็นคนรุ่นใหม่ได้เปล่งประกาย มันมีมากกว่า หากคนเก่าไม่ลุกจากเก้าอี้ คนใหม่ก็ไม่มีวันได้นั่ง แทนที่จะบอกให้ใครลุก ผมเลือกที่จะลุกเอง น่าจะดีกว่า
หากจะถามต่อว่า แล้วถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลล่ะ แล้ววิโรจน์จะไปทำอาชีพอะไร ผมคิดอย่างนี้ครับว่า ประเทศนี้ไม่ควรมี สส. ที่ต้องมาเป็น สส. เพียงเพราะไม่รู้ว่าถ้าไม่ได้เป็น สส. แล้วจะไปประกอบอาชีพอะไร
เอาเป็นว่าเมื่อถึงเวลานั้น ก็คงไปว่าเอาครับ ผมเชื่อว่า คนเราถ้าดิ้น มันก็มีพื้นที่ว่างให้ดิ้นเสมอครับผม
ผมมองในแง่ดีนะครับว่า หากได้ไปทำอะไรอย่างอื่น มันก็เป็นโอกาสที่ผมจะได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้ทำความเข้าใจกับความเป็นไปของโลกยุคใหม่ ได้รู้จักกับเครือข่ายประชาคมใหม่ๆ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้ผมกลับมาช่วยงานพรรคในมิติที่ลึก และแข็งแรงกว่าเดิม การเป็น สส. มา 5 ปีเศษ ในทุกๆ วัน มีแต่งานวิ่งมาชนตัว ไม่มีเวลาที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้อย่างลึกซึ้งเลยครับ
ตลอดเส้นทางกว่า 5 ปี 5 เดือน 7 วัน ผมอาจไม่ได้เป็นนักการเมืองที่สมบูรณ์แบบ แต่ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่า ผมไม่เคยใช้ตำแหน่งเพื่อตัวเอง ไม่เคยยึดเก้าอี้ไว้เพราะความอยาก และไม่เคยลืมว่าอำนาจทั้งหมดที่มีนั้น เป็นของประชาชน
สำหรับผม การเมืองไม่ใช่เรื่องของการได้ “เป็นอะไร” แต่คือการได้ “ทำอะไร” ให้ประเทศนี้ดีขึ้น
เอาเป็นว่าเลือกพรรคประชาชนกันให้เยอะๆ ครับ ใครจะไปรู้ ผมอาจจะได้กลับเข้าสภา เพื่อมาตอบกระทู้ของเพื่อน สส. ก็ได้ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าสไตล์การอภิปรายในสภาของผมนั้นเป็นอย่างไร ไม่อยากเห็นสไตล์การชี้แจง หรือการตอบกลับของผมในสภาบ้างหรือครับ
相关内容
- ·排毒美容去痘:牛蒡煲猪骨
- ·太原华美四方交通电子有限公司
- ·中国巡回赛锦标赛首轮张梓洪并列领跑 周彦含T12 中国
- ·Thực hư việc cấm hát karaoke loa kẹo kéo?
- ·厨余垃圾处理的意义和必要性
- ·“河港杯”第三届全国陆地风帆车公开赛收官
- ·羽联总决赛抽签:“梁王”再战印度组合 石宇奇VS昆拉武特
- ·Thực hư việc cấm hát karaoke loa kẹo kéo?
- ·用心用情用力把垃圾分类工作落细落实
- ·比肩梅西!爆红边锋过人称霸欧洲 武磊怎么和他
- ·HFS·时尚体育节2022青岛斗腕公开赛 00后小将倪清阳冲击冠军惜败赵子瑞
- ·从阅读练习中学写作之素材篇
- ·墨守孤城肉盾流阵容推荐攻略
- ·北极气温再创新高 为1900年以来最高值
- ·世乒赛男单:王楚钦零封户上隼辅 日本男单全军覆没
- ·基于投资与理财专业的课程开发思路研究论文
最新内容
推荐内容
- ·2023年山东青岛中考作文题目:材料作文
- ·乡村理发师汪腊苟:半个世纪的温情与坚守
- ·张继科:回归后是与自己斗争感谢相信
- ·新华网:投资德青源 “两源”为何相汇?
- ·家外之家,乐享生活!《京城十二时辰》第五季第七期探秘昌平小站公园。
- ·หาดใหญ่น้ำท่วม: เปิดใจเจ้าหน้าที่ รพ.หาดใหญ่ ย้อนเล่าวิกฤตขณะน้ำล้อมทุกทิศทาง
- ·สเปิร์มของผู้บริจาคที่มียีนก่อมะเร็ง ให้กำเนิดทารกหลอดแก้วเกือบ 200 คน ในยุโรป
- ·海淀城管“走街串巷”推动垃圾分类精细管理
- ·购物节后垃圾多 智能垃圾房来帮忙
- ·陆迪勇:关爱未成年人 心系公益事业
热点内容
- ·【战局指南Vol.3】“罪孽系统”与装备道具
- ·新疆官宣签约新外援 凯文
- ·深圳男篮挺进八强对阵上海队,邱彪:放下包袱立足防守
- ·หุ้นไทยปิดตลาดบวก 17.49 จุด มูลค่าซื้อขาย 31,025.56 ล้านบาท
- ·8 Coolest Remote Work Travel Programs in 2025 (for International Work + Travel)
- ·山东主场迎来复仇北控机会 邱彪:已做好充分准备
- ·双色球开9注707万分落8地 奖池余额27.18亿元
- ·太原华美四方交通电子有限公司
- ·英雄联盟s14排位赛积分如何调整 积分调整介绍
- ·《热血传奇》欢庆六一,童趣好礼唤醒你的少年
